อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ ตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่า เป็นที่บรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิตในการปราบกบฏฮ่อ
เมื่อปี ร.ศ. ๑๐๕ (พ.ศ. ๒๔๒๙) เสด็จ
ในกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ปราบกบฏฮ่อในครั้งนั้นรับสั่ง
ให้สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนความดีของผู้ที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อชาติบ้าน
เมือง ที่อนุสาวรีย์ทั้ง ๔ ทิศ มีคำจารึกอักษรภาษาไทย จีน
ลาว และอังกฤษ
จังหวัดหนองคายจัดพิธีบวงสรวงและจัดงานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อเป็นประจำทุกปี
ในระหว่างวันที่ ๕ - ๑๖ มีนาคม ของทุกปี
วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
วัด
โพธิ์ชัย เป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย
เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านของชาวเมืองหนองคาย
หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก
มีลักษณะงดงาม ตามตำนานเล่าว่า พระธิดา ๓
องค์ของกษัตริย์ล้านช้างได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์
และขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามของตนเอง คือ พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระ
สุกประจำคนกลาง และพระใสประจำน้องคนสุดท้อง เดิมประดิษฐานที่เวียงจันทน์
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓
ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสามลงเรือข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมายังเมืองหนองคาย
แต่เกิดพายุพัดพระสุกจมน้ำหายไปกลางลำแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า
เวินสุก อำเภอโพนพิสัย ส่วนพระเสริมและพระใสได้ถูกอัญเชิญมา
ประดิษฐานไว้ที่หนองคาย จนในสมัยรัชกาลที่ ๔
จึงได้อัญเชิญพระเสริมลงไปประดิษฐานที่กรุงเทพฯ
ส่วนพระใสยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคายจัดงานสมโภชหลวงพ่อพระใสอย่างยิ่งใหญ่ ในระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๘ เมษายนของทุกปี และวันเพ็ญกลางเดือน ๗ ชาวเมืองหนองคายจะจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟบูชาหลวงพ่อพระใสที่วัดโพธิ์ชัยเป็นประจำทุกปี
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
สะพาน
มิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๑ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงไปจากอำเภอเมือง
จังหวัดหนองคายไปยังบ้านท่าเดื่อ เมืองหาดทรายฟอง สปป.ลาว
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของ ๓ ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ลาว และไทย
นับว่าเป็นสะพานที่สร้างความสัมพันธ์ไทย-ลาว ให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประเพณี
นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการเดินทางจากหนองคายไปนครหลวงเวียงจันทน์
จำเป็นต้องใช้สะพานแห่งนี้ ตัวสะพานมีความยาว ๑,๑๓๗ เมตร กว้าง ๑๒.๗ เมตร มีช่องสำหรับเดินรถ ๒ ช่องทาง และช่องกลางสำหรับทางรถไฟ ๑ ช่องทาง เชิงสะพานของแต่ละฝั่งมีด่านตรวจคนเข้าเมืองและด่านศุลกากร
พระธาตุบังพวน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
พระ
ธาตุบังพวนเป็นเจดีย์เก่าแก่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในส่วนกระเพาะอาหาร
เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายและใกล้เคียงมาช้านาน
องค์พระธาตุเดิมสร้างด้วยอิฐเผา ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่น
เป็นสถูปแบบอินเดียรุ่นเดียวกับองค์พระปฐมเจดีย์
ต่อมาได้พังทลายลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๓ เนื่องจากฐานทรุด
เจดีย์องค์ปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร
เป็นรูปปรางค์สี่เหลี่ยมต่อกันเป็นบัวปากระฆัง มีฐานทักษิณ ๕ ชั้น กว้าง ๑๗.๒๐ เมตร ชั้นที่ ๖ เป็นรูประฆังคว่ำ ชั้นที่ ๗ เป็นรูปดาวปลี เหนือขึ้นไปเป็นที่ตั้งฉัตร สูงจากพื้นดิน ๓๔.๒๕ เมตร ชาว
หนองคายจัดงานนมัสการพระธาตุบังพวนขึ้นในวันขึ้น ๑๑ - ๑๕ ค่ำ เดือนยี่
ของทุกปี ภายในบริเวณวัดมีโบราณสถานอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ได้แก่ สัต
ตมหาสถาน หรือ สถานที่สำคัญ ๗
แห่งในพุทธประวัติหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วและ
ได้เสด็จประทับเสวยวิมุติสุข แห่งละ ๗ วัน และสระปัพพฬนาค หรือสระพญานาค ซึ่งในสมัยโบราณเมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมือง ก็จะนำน้ำจากสระนี้ไปสรงเพื่อเป็นสิริมงคล
การเดินทางไปนมัสการ พระธาตุบังพวน ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุบังพวน บ้านดอนหมู ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมือง จ.หนองคาย อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๓ กิโลเมตร โดยเดินทางจากตัวเมืองหนองคายไปตามทางหลวงหมายเลข ๒ (หนองคาย
- อุดรธานี) ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๑๑
ทางไปอำเภอท่าบ่อ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๐ วัดจะอยู่ด้านขวามือ
องค์พระธาตุสูงเด่นเห็นได้ตั้งแต่ไกล
พระธาตุหนองคาย หรือ พระธาตุกลางน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
พระธาตุหล้าหนอง หรือ พระธาตุกลางน้ำ ตั้งอยู่ที่ชุมชนวัดธาตุ เป็นพระธาตุที่หักพังลงสู่กลางลำน้ำโขง ปัจจุบัน
อยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ ๒๐๐ เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
(ฝ่าพระบาทด้านขวาหรือ ก้ำขวา ตามภาษาอีสาน) ตามตำนานอุรังคธาตุ
จากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค ๗ พบว่า องค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ
๑๗.๒ เมตร ย่อมุมที่ฐาน และมีความสูงประมาณ ๒๘.๕ เมตร
หักออกเป็น ๓ ท่อน สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒
เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวนมากที่สุด หนังสือประชุมพงศาวดารภาค ๗๐ บันทึกไว้ว่า “พระธาตุเมืองหนองคายได้เพ (พัง) เมื่อวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ปีพุทธศักราช ๒๓๙๐” และตลิ่งได้ถูกน้ำเซาะจนมองเห็นพระธาตุอยู่เกือบกึ่งกลางลำน้ำโขงในปัจจุบัน พระธาตุหล้าหนองยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายและใกล้เคียง ชาวบ้านได้จัดงานประเพณีบั้งไฟเดือน ๖ ถวายพระธาตุทุกปี นอก
จากนี้ทางจังหวัดหนองคายได้ก่อสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองสูง ๑๕
เมตรขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ชุมชนวัดธาตุ เขตเทศบาลเมืองหนองคาย
โดยบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงและวัตถุมงคลอยู่ภายใน
พระธาตุโพนจิกเวียงงัว หรือพระธาตุบุ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
พระธาตุโพนจิกเวียงงัว สันนิษฐานว่าสร้างในเวลาใกล้เคียงกับพระธาตุบังพวน พระธาตุเมืองหล้าหนอง หรือพระธาตุกลางน้ำ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระธาตุโพนจิกเวียงงัวประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวฝาง จำนวน ๓ องค์
พระธาตุโพนจิกเวียงงัว ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุบุ บ้านโคกป่าฝาง ต.ปะโค อ.เมือง จ.หนองคาย อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคาย ไปตามถนนสายหนองคาย-ท่าบ่อ (ถนนพนังชลประทาน) ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เป็นพระธาตุที่มีลักษณะฐานทรงกลม ๕ ชั้น ก่ออิฐถือปูนรูปกรวยปลายแหลม ส่วนยอดมีพญานาคประจำ ๔ ทิศ มีความสูงไม่น้อยกว่า ๑๕ เมตร กรม
ศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนพระธาตุโพนจิกเวียงงัวไว้เป็นแหล่งโบราณสถานแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕
และปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุและปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ
บริเวณเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งทำให้องค์พระธาตุโพนจิกเวียงงัวดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีชมภูองค์ตื้อ บ้านน้ำโมง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ฝีมือของช่างฝ่ายเหนือและช่างล้านช้าง เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามมาก นั่งขัดสมาธิปางมารวิชัย หน้าตัก
กว้าง ๓.๒๙ เมตร สูง ๔ เมตร
เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงเคารพนับถือมาก
จากหลักฐานศิลาจารึกทำให้ทราบว่า พระเจ้าองค์ตื้อสร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๕
ผู้สร้างคือ พระไชยเชษฐา กษัตริย์นครเวียง หล่อโดยใช้ทองคำ ทองเหลือง และเงินผสมกัน รวมน้ำหนักได้ ๑ ตื้อ (ตื้อ เป็น มาตราโบราณของอีสาน) ใช้เวลาในการสร้าง ๗ ปี ๗ เดือน ทางจังหวัดได้จัดงานนมัสการหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔
การเดินทาง ออกจากตัวเมืองหนองคายใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๒ ทางไปอุดรธานี เลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหมายเลข ๒๑๑
สายหนองคาย-ท่าบ่อ ถึง กม.ที่ ๓๑
หรือจะใช้เส้นทางออกจากอำเภอเมืองไปตามถนนพนังชลประทาน
วิ่งเลียบฝั่งโขงผ่านตัวอำเภอท่าบ่อไปตามถนนสายท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่
จะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร
รวมระยะทางห่างจากตัวจังหวัดหนองคาย ประมาณ ๔๓ กิโลเมตร
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
วัดหินหมากเป้ง ตั้งอยู่ที่บ้านไทยเจริญ ตำบลพระพุทธบาท การเดินทางจากตัวเมืองหนองคาย ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ (หนองคาย - ศรีเชียงใหม่) ถึง
กม. ๖๔ ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข ๒๑๘๖ วัดจะอยู่ริมถนนด้านขวามือ
รวมระยะทางจากตัวเมืองประมาณ ๗๕ กิโลเมตร มีพื้นที่กว้างขวาง
ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ นานาชนิด บริเวณวัดโดยรอบสะอาด เรียบร้อย และเงียบสงบ
มีพื้นที่ด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำโขงซึ่งมองเห็นทัศนียภาพสวยงาม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เกจิอาจารย์ชื่อดังของ
ภาคอีสาน ได้ริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์ แม่ชี
และผู้แสวงบุญทั้งหลาย หลังจากท่านมรณภาพ มีการก่อสร้างเจดีย์
เพื่อบรรจุอัฐิของท่าน ภายในมีรูปปั้นของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พร้อมจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและชีวประวัติของท่านอีกด้วย
ภูทอก อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
ภู
ทอก ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ตั้งอยู่ในเขตบ้านคำแคน
ตำบลนาสะแบง อำเภอศรีวิไล เป็นภูเขาหินทรายโดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกล
ประกอบด้วย ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย แต่ก่อนบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ
มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ
ภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดภูทอก ซึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก โดยต้องเดินไปตามสะพานไม้เวียนวนรอบเขาสูงชันจนถึงยอด สะพานไม้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากเหล่าพระ เณร และชาวบ้าน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง ๕ ปี บันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรม ที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกียะสู่โลกแห่งโลกุตระหรือโลกแห่งการหลุด พ้น ด้วยความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอกยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน ดังนั้นผู้ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในความสงบและเคารพสถานที่
ภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดภูทอก ซึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก โดยต้องเดินไปตามสะพานไม้เวียนวนรอบเขาสูงชันจนถึงยอด สะพานไม้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากเหล่าพระ เณร และชาวบ้าน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง ๕ ปี บันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรม ที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกียะสู่โลกแห่งโลกุตระหรือโลกแห่งการหลุด พ้น ด้วยความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอกยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน ดังนั้นผู้ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในความสงบและเคารพสถานที่
เมื่อพระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ มรณภาพ
ลง
พุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาได้พร้อมใจกันสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิและเครื่อง
อัฐบริขารของท่านไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและรำลึกถึงคุณงามความดีใน
วัตรปฏิบัติของท่าน
บันไดขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น ๗ ชั้น แตกต่างกัน ดังนี้
ชั้น
ที่ ๑ - ๒ เป็นบันไดสู่ชั้นที่ ๓ ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา
สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหิน ลานหิน สุดทางชั้นที่ ๓ มีทางแยกสองทาง
ทางซ้ายมือเป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ ๕ ได้เลย
ซึ่งเป็นทางชันมากผ่านหลืบหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์
ทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ ๔
ชั้นที่ ๔ เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจรดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบ บนชั้นที่ ๔ นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะๆ ชั้นที่ ๕ มีศาลาและกุฏิที่อาศัยของพระ ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ ๖ มีที่พักเป็นลานกว้างหลายแห่ง มีหน้าผาชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผา เทพสถิต เป็นต้น ถ้ามาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พระวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน ผู้คนส่วนใหญ่มักหยุดการเดินทางเพียงแค่นี้เพราะจากชั้นที่ ๖ สู่ชั้นที่ ๗ เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว ๔๐๐ เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย สุดทางที่ชั้น ๗ เป็นป่าไม้ร่มครึ้ม อากาศเย็นสดชื่นตลอดทั้งปี
ชั้นที่ ๔ เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจรดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบ บนชั้นที่ ๔ นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะๆ ชั้นที่ ๕ มีศาลาและกุฏิที่อาศัยของพระ ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ ๖ มีที่พักเป็นลานกว้างหลายแห่ง มีหน้าผาชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผา เทพสถิต เป็นต้น ถ้ามาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พระวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน ผู้คนส่วนใหญ่มักหยุดการเดินทางเพียงแค่นี้เพราะจากชั้นที่ ๖ สู่ชั้นที่ ๗ เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว ๔๐๐ เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย สุดทางที่ชั้น ๗ เป็นป่าไม้ร่มครึ้ม อากาศเย็นสดชื่นตลอดทั้งปี
การเดินทาง ภูทอก อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ ๑๘๕ กิโลเมตร จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๑๒ ผ่านอำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี อำเภอปากคาด และอำเภอบึงกาฬ แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๒๒ ถึงอำเภอศรีวิไล จากอำเภอศรีวิไลมีทางแยกเลี้ยวซ้ายผ่านบ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอกเป็นระยะทางประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
ศาลาแก้วกู่ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ศาลา
แก้วกู่หรือที่รู้จักกันในนามวัดแขก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคาย ประมาณ
๓ กิโลเมตร ตามเส้นทางไปอำเภอโพนพิสัยอยู่ด้านขวามือ
ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของพุทธมามกะสมาคมจังหวัดหนองคาย สถานที่ซึ่งคล้ายพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง แสดงรูปปั้นทางศาสนาแห่งนี้ เกิดจากแรงบันดาลใจของหลวงปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ซึ่ง
ได้สร้างสถานที่แห่งนี้เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๕๒๑
ตามความเชื่อว่าหลักคำสอนทุกศาสนาสามารถนำมาผสมผสานกันได้
งานปั้นอันใหญ่โตอลังการนี้มีทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ รูปเทพฮินดู รูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ รูปปั้นเล่าเรื่องรามเกียรติ์ และตำนานพื้นบ้าน เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๘.๓๐ น. ค่าเข้าชมคนละ ๒๐ บาท
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย (หลังเก่า) อำเภอเมือง จ.หนองคาย
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย (หลังเก่า) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ฝรั่งเศส ที่หลงเหลืออยู่ ณ เมืองหนองคาย ยังคงความสวยงามและความเก่าแก่ร่วมร้อยปี ภายในจวนผู้ว่าฯ มีประวัติการสร้างเมืองหนองคาย ประวัติเจ้าเมืองหนองคายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ให้ได้ศึกษาหาความรู้ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย (หลังเก่า) ตั้งอยู่ถนนมีชัย ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย สี่แยกหายโศก อยู่เยื้องกับโรงพยาบาลหนองคาย
วัดผาตากเสื้อ อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
วัดผาตากเสื้อ ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก มองจากบนหน้าผาลงมามองเห็นความเป็นอยู่ของชาวไทย-ลาว มองเห็นแม่น้ำฝั่งประเทศลาวไหลมาบรรจบแม่น้ำโขงเกิดเป็นดอนที่สวยงามมาก ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ สามารถเดินเลาะตามหน้าผาเพื่อชมธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามได้ นอก
จากนั้นห่างออกเป็นจากวัดผาตากเสื้อ ประมาณ ๗ กิโลเมตร จะมีวัดศรีมงคล
หรือวัดถ้ำเพียงดิน
ที่เล่าขานกันมาแต่โบราณว่าเป็นรูพญานาคที่โผล่มาจากแม่น้ำโขง
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปภายในถ้ำได้ ผู้ที่สนใจท่องเที่ยวชมวัดถ้ำศรีมงคล
(ถ้ำเพียงดิน) และวัดผาตากเสื้อ
สามารถติดต่อสอบถามขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลผาตั้ง
โทร. ๐๔๒-๙๐๑๐๑๓
การเดินทาง จากจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ เรียบแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ ๙๐ กิโลเมตร ถึงบ้านดงต้อง ตำบล
ผาตั้ง อำเภอสังคม จะมีป้ายอยู่ทางซ้ายมือบอกเส้นทางไปวัดถ้ำเพียงดินอีก ๑๔
กิโลเมตร และวัดผาตากเสื้อ ๗ กิโลเมตร โดยแยกทางขวามือ การเดินทางสามารถไปได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว และรถโดยรถประจำทาง สายหนองคาย - เลย ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ ๒ ชั่วโมง
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
พระ
สุธรรมเจดีย์อยู่ภายในวัดอรัญญบรรพต ตั้งอยู่ริมถนนสายศรีเชียงใหม่-สังคม
ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ก่อสร้างโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อถวายหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
เกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีศิษยานุศิษย์มากมาย มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนากรรมฐาน
ปัจจุบันท่านได้มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๘
ศพของท่านตั้งบำเพ็ญกุศลภายในพระสุธรรมเจดีย์แห่งนี้
ตลาดท่าเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ตลาดท่าเสด็จ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เป็นแหล่งรวมสินค้าในแถบอินโดจีนและยุโรปตะวันออก มีทั้งผลิตภัณฑ์อาหารแห้ง อาหารแปรรูป และข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องครัว สินค้าทำด้วยมือ เปิดจำหน่ายทุกวันเวลา ๐๗.๐๐ – ๑๘.๓๐ น. ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้ความสนใจเดินทางมาเที่ยวชมและเลือกซื้อสินค้ามากมาย นอก
จากนี้ท่าเสด็จยังเป็นด่านพรมแดนสำหรับคนท้องถิ่นข้ามไปมาระหว่างไทย-ลาว
และเมื่อปี ๒๕๔๙
จังหวัดหนองคายได้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำโขงให้ชาวหนองคายและนัก
ท่องเที่ยวได้ชมบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำโขงด้วย
น้ำตกธารทิพย์ อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
น้ำตกธารทิพย์ อยู่บ้านตาดเสริม ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ ๙ กิโลเมตร โดยเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ ถึงบริเวณ กม. ที่ ๙๗- ๙๘ มีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร เมื่อถึงลานจอดรถต้องเดินเท้าต่ออีก ๑๐๐ เมตร จึงถึงตัวน้ำตก น้ำตกธารทิพย์เป็นน้ำตกที่สูงและสวยงามท่ามกลางป่าเขียวขจี แบ่ง
ออกเป็น ๓ ชั้น ด้านล่างเป็นน้ำตกชั้นแรกสูงประมาณ ๓๐ เมตร
ไหลจากหน้าผาเป็นสายยาวสีขาวสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ชั้นที่ ๒ สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ต้องปีนขึ้นไปตามเส้นทางที่ทำไว้ และชั้นที่ ๓ สูงประมาณ ๗๐ เมตร มีน้ำไหลเกือบตลอดปี และจะมีน้ำมากในฤดูฝน ซึ่งแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปพักผ่อนเป็นจำนวนมาก
น้ำตกธารทอง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
น้ำตกธารทอง ตั้งอยู่ในเขตบ้านผาตั้ง หมู่ที่ ๑ ตำบลผาตั้ง การเดินทางใช้เส้นทางหนองคาย-ศรีเชียงใหม่-สังคม (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๑)ผ่าน
บ้านไทยเจริญ บ้านพระพุทธบาท แล้วต่อไปบ้านผาตั้ง บริเวณหลัก กม.ที่ ๗๔
ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณ ๑๑ กิโลเมตร น้ำตกธารทองจะอยู่ริมทางด้านขวามือ
ส่วนด้านซ้ายมือของถนนเป็นบริเวณลานจอดรถ
น้ำตกธารทองมีลักษณะเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน มีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้
ก่อนจะลดระดับเกิดเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30 เมตร
และไหลลงสู่ลำน้ำโขงในที่สุด
ช่วงเวลาที่มีน้ำมากเหมาะแก่การมาเที่ยวชมคือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม
บริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกขชาติมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น
หาดจอมมณี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
หาด
จอมมณี อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๓ กิโลเมตร ตามถนนพนังชลประทาน
เลียบแม่น้ำโขง เป็นหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง
(ฤดูร้อน) ชายหาดมีความยาวประมาณ ๑ กิโลเมตร
ช่วงที่เหมาะในการไปเที่ยวพักผ่อนคือเดือนเมษายน
ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดหนองคายและบริเวณใกล้เคียง
เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อน เล่นน้ำเป็นจำนวนมาก
จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น “พัทยาอีสาน” ทิวทัศน์บริเวณหาดจอมมณีสวยงามมากเนื่องจากมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเป็นจุดเด่น ตั้งตระหง่านเหนือหาดจอมมณี
น้ำตกวังน้ำมอก อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
น้ำตกวังน้ำมอก อยู่ในเขตบ้านวังน้ำมอก ตำบลพระพุทธบาท เป็น
น้ำตกสูงประมาณ ๓๐ เมตร อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน
ห่างจากอำเภอศรีเชียงใหม่ออกไปทางอำเภอสังคม ประมาณ ๒๘ กิโลเมตร
ก่อนถึงวัดหินหมากเป้ง ประมาณ ๑๐๐ เมตร
จะมีทางแยกซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านวังน้ำมอก ระยะทางจากทางแยกเข้าสู่น้ำตก
ประมาณ ๗ กิโลเมตร เดินทางโดยรถยนต์จนถึงตัวน้ำตกได้เลย บริเวณน้ำตกมีแนวสันภูเป็นผาหินมีลักษณะแปลกตา ธารน้ำไหลระยะทางลดหลั่นกันลงไป ตอนล่างเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่และลานหิน สามารถลงเล่นน้ำและอาบน้ำได้ ช่วงเวลาที่มีน้ำได้แก่ ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด นอกจากนั้นที่หมู่บ้านวังน้ำมอก ยังมีสถานที่บริการพักค้างคืนสำหรับท่องเที่ยว หรือหมู่บ้านโฮมสเตย์ และบริการเดินเที่ยวป่า รวมทั้งยังมีพิธีบายศรีสู่ขวัญ และซุมข้าวแลง (กินข้าวเย็นร่วมกัน) ซึ่งเป็นวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชาวบ้านวังน้ำมอก ในการต้อนรับกับคนแปลกถิ่นที่มาเยือน ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างดี อาหารพื้นบ้านที่ท่านจะได้ลิ้มรส อันได้แก่ แกงหน่อไม้ ตำสับปะรด ปลาทอดสมุนไพรกรอบ ฯลฯ
สนใจท่องเที่ยวบ้านวังน้ำมอกไปจนถึงการเดินเที่ยวป่า พักโฮมสเตย์ ติดต่อที่ คุณติณณภพ (คุณหน่อย) โทร. ๐๘-๖๒๓๒-๕๓๐๐ หรือที่ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอศรีเชียงใหม่ โทรศัพท์ ๐๔๒-๔๕๑๐๓๑
ศูนย์วิจัยพืชสวนหนองคาย อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย
ศูนย์วิจัยพืชสวนหนองคาย ตั้งอยู่ที่ถนนหนองคาย-บึงกาฬ (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๒) ห่างจากตัวเมืองหนองคาย ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร มี
ป้ายบอกทางแยกขวาที่บ้านนายางเข้าไปอีกประมาณ ๒๐๐ เมตร
เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงจึงทำให้เป็นเขตที่มีความชุ่มชื้นสูงหลาก
หลายไปด้วยพันธุ์ไม้ที่ทดลองปลูก
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั่วบริเวณ ได้แก่ แปลงไม้ผล มีทุเรียน มังคุด ลองกอง มะม่วงหิมพานต์ รวมทั้งพันธุ์ไม้พื้นบ้านที่ได้อนุรักษ์ไว้ เช่น ต้นมะเกี๋ยงที่นำไปทำไวน์และน้ำมะเกี๋ยง แปลงผักพื้นบ้านที่ชาวอีสานนิยมนำไปจิ้มน้ำพริก แหนม ลาบ ก้อย เช่น กระเจียว ผักกาด ส้มโมง ผักหวานป่า แปลงรวบรวมพันธุ์ไม้หอมกว่า ๑๐๐ ชนิด และสมุนไพรพื้นบ้านภาคอีสาน ในช่วงฤดูหนาวมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวสีสันสวยงาม นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง สนใจเข้าชมสอบถามรายละเอียดทางโทรศัพท์ ๐๔๒-๔๒๑๒๕๗
การเดินทาง จากจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข ๒๑๒ ผ่านอำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี อำเภอปากคาด อำเภอบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า เข้าสู่อำเภอบึงโขงหลง ระยะทางประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร หรือเมื่อมาถึง อำเภอบึงกาฬ เลี้ยวขวาไปอำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา เข้าสู่บึงโขงหลงที่บ้านหาดคำสมบูรณ์ หรือเมื่อมาถึงอำเภอโพนพิสัยเลี้ยวขวาไปอำเภอเฝ้าไร่ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา เข้าสู่บึงโขงหลง ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ ๓ ชั่วโมง
หมู่บ้านทำยาสูบ อำเภอท่าบ่อ จ.หนองคาย
หมู่บ้านทำยาสูบ อยู่บริเวณตลอดเส้นทางจากอำเภอเมืองไปอำเภอท่าบ่อ (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๑) และ ถนนพนังชลประทาน มี
ชาวบ้านทำไร่ยาสูบตามแนวเรียบริมฝั่งแม่น้ำโขงเป็นจำนวนในช่วงเดือนมกราคมภา
คม มีธรรมชาติที่สวยงาม นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก และแต่ละปีสร้างรายได้ให้กับประชาชนชาวหนองคายเป็นจำนวนมาก
หมู่บ้านประมงน้ำจืด อำเภอท่าบ่อ จ.หนองคาย
หมู่บ้านประมงน้ำจืด อยู่ที่บ้านกองนาง ตำบลกองนาง อำเภอท่าบ่อ ตามเส้นทางสายท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านมีอาชีพทำการประมงน้ำจืด มีการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดชนิดต่างๆ จำหน่าย เช่น ปลาตะเพียน ปลาไน ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ ปลาเกล็ดเงิน ปลาหัวโต และปลาดุกเทศ โดยจัดส่งไปจำหน่ายยังจังหวัดต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคอีสาน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังที่ใหญ่ที่สุดของหนองคายด้วย
หมู่บ้านทำแผ่นกระยอ อำเภอท่าบ่อ จ.หนองคาย
หมู่
บ้านทำแผ่นกระยอ อยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองท่าบ่อ
จะมองเห็นตะแกรงไม้ไผ่ตากแผ่นกระยออยู่เป็นระยะๆ ริมถนนและหน้าบ้าน
แผ่นกระยอเป็นแผ่นแป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหารเวียดนาม เช่น ปอเปี๊ยะ และแหนมเนือง มีการส่งไปจำหน่ายยังต่างจังหวัดและต่างประเทศ เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของหนองคาย
สวนสาธารณหนองถิ่น เขตเทศบาลเมืองหนองคาย
ตั้งอยู่ที่บริเวณชุมชนมีชัย ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ใกล้กับสถานีรถไฟเก่า เทศบาลเมืองหนองคายจัดสร้างสวน
สาธารณแห่งนี้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
ออกกำลังกายของประชาชนชาวจังหวัดหนองคาย และเป็นสถานที่จัดงานลอยกระทง
วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ของจังหวัดหนองคายทุกปีที่ผ่านมา